เรื่องคาวบอยสมัยก่อนปี ค.ศ. 1880 เลี้ยงวัวอย่างไร มีคนเคยถามผมว่า ต้องต้อนวัวไปหากินตอนเช้า และไล่กลับตอนเย็นหรือเปล่า เท่าที่เคยอ่านพบมา ถ้าทำแบบนี้ยุคคาวบอย คงเป็นเรื่องตลกมากครับ จะมีก็คงแถบเอเซียเท่านั้นกระมัง สมัยนั้นเขาเลี้ยงกันแบบ Open range คือปล่อยให้วัวมันหากินเอง ไม่มีคอกไม่มีรั้ว แต่ละ ranch หรือคอกปศุสัตว์ใหญ่ๆ เขาจับจองที่กันเป็นหมื่นเป็นแสนเอเคอร์ (1 เอเคอร์ เท่ากับ 2.5 ไร่) ranch ที่ใหญ่ที่สุด ชื่อ King Ranch มีพื้นที่ 825000 เอเคอร์ ประมาณ 3340 ตารางกิโลเมตร์ ก่อตั้งในปี 1853 พื้นที่ของเขากินระยะทางเป็น 100 กิโลเมตร
การเลี้ยงวัวยุคคาวบอยเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติจริงๆ ยิ่งกว่าที่คนไทยเลี้ยงไก่บ้านเสียอีก คือปล่อยวัวหากินในทุ่งหญ้าอย่างอิสระ ไม่มีคอก ไม่มีร้้ว วัวของเขาจึงแทบจะเป็นวัวป่า วัวจะถูกต้อนเข้าคอกชั่วคราวที่สร้างขึ้นมาในฤดูตีตราวัว หรือจับวัวส่งตลาดเป็นระยะสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งก็เป็นคอกอยู่ตามทุ้่งหญ้านั่นแหละ อาจห่างจากบ้านเจ้าของไร่มากกว่า 10 กิโลเมตร สมัยนี้บางแห่งในอเมริกา ก็ยังทำแบบนี้อยู่
เนื่องจากเจ้าของไร่แต่ละคนเลี้ยงวัวเป็นพัน เป็นหมื่นตัว จึงต้องจ้างคาวบอยไว้จำนวนพอควร และต้องเลี้ยงม้าเป็นพาหนะให้เขาด้วย มีคนดูแลเลี้ยงม้าโดยเฉพาะ เรียกว่า แรงเลอร์(Wrangler) ดังนั้นพวกแรงเลอร์จริงๆ แล้วไม่ใช่คาวบอย แต่เป็นคนดูแลฝูงม้าที่เรียกว่า เรมูด้า(remuda) หมายถึงม้าที่เตรียมไว้สำหรับให้คาวบอยเปลี่ยนใช้งานในช่วงทำงานในแต่ละวัน ซึ่งใน 1 วัน คาวบอยแต่ละคนอาจใช้ม้า 2-3 ตัวตอนต้อนวัวเข้าคอก คือพอตัวที่ขี่เริ่มหมดแรง ก็ไปเลือกม้าตัวใหม่จาก เรมูด้า ที่มีแรงเลอร์เฝ้าไว้ให้
รูปนี้ คนที่มีตัวเลขกำกับ คือพวกคาวบอยที่ทำหน้าที่ต้อนวัวมารวมกันในช่วง round up พวกเขารวมตัวกันอยู่บริเวณที่ฝูงเรมูด้าถูกผูกไว้ และมีเกวียนเสบียงที่เรียกว่า Chuck Wagon อยู่ด้วย เข้าใจว่า ถ่ายกันตอนพักกินข้าว สังเกตุดูจะเห็นว่า พวกเขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบคนงานธรรมดา ลักษณะเหมือนคนงานกรรมกรทั่วไป ไม่ได้หรูหราเหมือนในหนังฮอลลีวูด
การเลี้ยงแบบนี้ การแสดงความเป็นเจ้าของวัวอย่างถาวรจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะวัวจากไร่ข้างเคียงอาจเข้ามาปะปนกันได้ ดังนั้น การตีตราด้วยเหล็กร้อน เพื่อให้มีรอยแผลเป็นบนหนังวัวที่ลบไม่ออก จึงเป็นสิ่งที่พวกเจ้าของไร่คิดขึ้นเพื่องานนี้ และออกแบบตราของตนเองให้แตกต่างจากคนอื่น ดังนั้น เมือจะปล่อยวัวไปหากินอิสระ สมมุติว่าเริ่มต้นจากซื้อวัวจากชาวบ้านมาเริ่มธุรกิจ ก็ต้องซื้อลูกวัว หรือวัววัยรุ่นที่ยังไม่ตีตรามาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เอามาตีตราด้วยเหล็กร้อน เพื่อแสดงว่า นี่วัวของไร่ฉันนะ
พอตีตราวัวเสร็จแล้ว ก็ปล่อยมันไป ทั้งตัวผู้ ตัวเมีย ให้มันหากินเอง ผสมพันธุ็กันเอง อาจข้ามไปกินน้ำกินหญ้าที่คนอื่นบ้างก็ไม่ว่ากัน แต่มีคาวบอยขี่ม้าสำรวจบ้าง ถ้าพบก็ไล่มันกลับมาในที่ตน คาวบอยแค่ขี่ม้าสังเกตุการณ์เป็นระยะๆ เท่านั้น ไม่ได้ดูแลติดตามใกล้ชิดอะไรมันมาก
ไม่เหมือนเด็กเลี้ยงวัวไทย ที่ต้องห่อข้าวเดินตามวัวตั้งแต่เช้าจนเย็น เขาปล่อยมันไปตามยะถากรรม จริงๆ การที่ที่ดินเขาเยอะ วัวมันจึงเกือบจะเหมือนวัวป่า ต้องช่วยตัวเองตลอด หาที่กินที่นอนเอง ปีหนึ่งจะมีการต้อนวัวมารวมกันเพียง 1-2 ครั้ง เรียกว่าการ round upเพื่อตีตราลูกวัวที่ออกใหม่ และเพื่อแยกตัวที่โตพอขายได้ออกมาเพื่อต้อนไปส่งตลาด หรือไปขึ้นรถไฟส่งไปขายในเมืองที่เจริญแล้ว เพื่อให้ได้ราคาดี ระยะต้อนวัวไปส่งนี่ หลายร้อยกิโลเมตรหรือมากกว่าพันกิโลเมตร กินเวลาเป็นเดือนๆ
ยุคคาวบอยรุ่งเรืองสุด คือยุคที่ราคาวัวในเท็กซัสราคาตัวละ 4 ดอลลาร์ แต่ราคาวัวแถวแคนซัส ที่เมืองอาบีลีน(Abilene) หรือเมืองขายส่งวัว ที่เรียกว่า cow town ตามสถานีส่งวัวบนเส้นทางรถไฟที่ส่งวัวไปขายภาคตะวันออก หรือซานฟรานซิสโก ราคาตัวละประมาณ 40 ดอลลาร์ ทำให้มีการต้อนวัวกว่า 10 ล้านตัวจากเท็กซัสไปส่งแถวนั้น เกิดเรื่องราว นิยาย การต้อนวัวที่ยิ่งใหญ่ไปตามเส้นทางต้อนวัวสายประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า The Old Chisholm Trail หรือ เส้นทางชิซึล์ม หรือ ชิโซล์ม สายเก่า รายละเอียดตอนนี้ ดูได้จากเรื่องประกอบเพลงนี้ครับ เพลงเส้นทางชิซึล์มสายเก่า (The Old Chisholm Trail)
เส้นทาง Chisholm Trail เริ่มจากแม่น้ำ ริโอแกรนด์ (Riogrande) ตอนใต้เท็กซัส ผ่าน ฟอร์ตวอร์ต โอกลาโฮมา และแคนซัส ช่วงปี 1867-71 จะสิ้นสุดที่ Abilene หลังจากนั้น เปลี่ยนไปที่ Newton ในวิชิต้า (Wichita, Kansas) ต่อมามีการสร้างถนนตัดจาก Cimarron River ทำให้ต้อนวัวไปเมืองดอดจ์ซิตี้ แคนซัสได้ ช่วงปี 1883-87 ปลายทางเปลี่ยนไปอยู่ที่ Caldwell, Kansas ซึ่งเป็นเมือง cow town ที่ใหญ่ที่สุดในเส้นทางนี้ (จาก http://digital.library.okstate.edu/encyclopedia/entries/C/CH045.html)
รูปถ่ายเส้นทางต้อนวัวในสมัยนั้น
.
เส้นทางต้อนวัวระยะหลัง เพิ่มเป็นหลายเส้นทาง ดังแผนที่
เส้นทางต้อนวัวชิโซล์มเทรลนี้ มีระยะทางประมาณ 800 -1000 ไมล์ (1240-1600 กิโลเมตร) ใช้เวลาต้อนวัวประมาณ 2-3 เดือน แล้วแต่อุปสรรค์ วันหนึ่งๆ ประมาณว่าช่วงนั้น มีคาวบอยต้อนวัวบนเส้นทางนี้ถึงประมาณ 5000 คน ซึ่งผ่านอุปสรรค์มากมาย ทั้ง พายุ ฝน แม่น้ำใหญ่ โจรปล้นวัว และผ่านดินแดนพวกอินเดียนแดง ทำให้มีเรื่องราวผจญภัยมากมาย มีเพลงคาวบอยเกิดขึ้นหลายเพลง
บางไร่ปศุสัตว์ที่ใหญ่มาก จะมีกระท่อมไว้เป็นระยะๆ ตามป่าเขาตรงสุดขอบที่ดินของตน ห่างกัน 10-30 กิโลเมตร แล้วให้คาวบอยไปอาศัยอยู่กระท่อมละคน เพื่อคอยดูแลวัวที่หากินในแถบนั้นไม่ให้มันออกจากที่ไปไกลๆ หรือคอยช่วยมันเวลาตกหล่มหิมะ คอยป้องกันพวกขโมย คนที่อาศัยอยู่อย่างนี้โดดเดี่ยวมาก ต้องผลัดกันอาสาไปเหมือนเข้าเวร ไปทีก็อาจหลายเดือนเช่นตลอดฤดูหนาว ต้องหากินเองทุกอย่าง หากเป็นอะไรตาย ก็ต้องรอจนกว่าจะมีคนใหม่ไปแทนจึงจะรู้
ไร่ปศุสัตว์แบบยุค open range นี้ไม่มีรั้ว แต่ละคนก็ใช้ต้นไม้ ก้อนหิน เนินเขา ลำธาร เป็นเครื่องหมายเขตแดนของตน ปัญหากระทบกระทั่งของคาวบอยต่างไร่ การข้ามที่ แย่งที่ดิน แย่งน้ำ และการขโมยวัว การแอบตีตราวัวทับของคนอื่น จึงมีเสมอๆ เขาขโมยวัวกันทีก็เป็นร้อยๆ ตัว ไม่ใช่แค่ 2-3 ตัว วัว 1-2 ตัวนี่ เวลาต้อนวัวเดินทางไประยะไกลๆ หากพวกคาวบอยอยากกินเนื้อ ก็ยิงวัวของใครก็ได้ที่ไม่ใช่ของตน มาย่างกินกันสะบายๆ เขาไม่ว่ากัน
มีเรื่องเล่าถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่า ประมาณปี 1875 มีคาวบอยกลุ่มหนึ่ง 14 คน เริ่มต้อนวัวจากเท็กซัสไปส่งมอนตานา ประมาณ 1200 ตัว ระหว่างทางมีตกเขาตกน้ำตายเพราะวัวตื่น(stampede)หรือหายไป หรือป่วยจนต้องทิ้งจำนวนไม่น้อย แต่พอไปถึงที่หมายประมาณ 5 เดือนให้หลัง มีวัวถึงที่หมาย ประมาณ 2400 ตัว
อย่าเพิ่งด่าว่าเขาโม้นะ ที่เพิ่มขึ้นมาก็เพราะว่า ระหว่างทางที่เป็นป่าเขา ก็มีวัวของไร่คนอื่นที่ไม่ได้ตีตรามันเห็นฝูงวัวพวกนี้ มันก็เลยเดินเข้ามาหาเพื่อนร่วมขบวนหากินหญ้าตามเขาไปด้วย พวกคาวบอยก็เลยจับตีตราเป็นของตนเองเสียเลย แถมยังมีออกลูกตามทางเพิ่มมาอีก ดูแล้วน่าทึ่งมาก มันเหมือนยุคทองของคนเลี้ยงสัตว์จริงๆ แต่นี่เป็นเรื่องธรรมดาของเขานะครับ ไม่เชื่อลองไปหาอ่านที่ www.wyomingtalesandtrails.com
ที่เว็บไซต์ http://www.bbc.co.uk/schools/gcsebitesize/history/shp/americanwest/cattleranchingrev1.shtml สรุปการเลี้ยงวัวยุคก่อนปี 1880 ที่พัฒนาต่อเนื่องมาไว้ดีมาก โดยผมขอขยายความบ้างตามที่รู้มา ดังนี้
ปี 1820-1865 เริ่มต้นใน เท็กซัส
-ไร่ปศุสัตว์เร่ิมต้นครั้งแรกในเท็กซัส ซึ่งบริหารจัดการโดยพวกคาวบอยเม็กซิกัน ที่เรียกว่า วาเคโร (vaqueros)
-.ในปี 1836 ชาวไร่ปศุสัตว์ที่เป็นคนเท็กซัสอเมริกัน ไล่พวกเม็กซิกันออกไป ยึดเอาวัวที่ทิ้งไว้ทั้งหมด
-สงครามกลางเมืองเริ่มในปี 1861 ชาวเท็กซัสออกไปรบในสงคราม ปล่อยให้พวกวัวอยู่หากินอย่างอิสระเสรี และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เมื่อสงครามสงบ ชาวเท็กซัสก็ไปต้อนวัวมารวมกัน และไล่ไปขายในที่ต่างๆ เช่น นิวออร์ลีนส์ และคาลิฟอร์เนีย
ช่วงปี 1865-1870 การต้อนวัวระยะไกล กำเนิดไร่ปศุสัตว์แบบ ทุ่งเปิด หรือ Open Range
-เนื่องจากมีความต้องการเนื้อวัวสูงมากทางรัฐที่เจริญแล้วทางเหนือของอเมริกา ชาวเท็กซัสจึงเปิดเส้นทาง ต้อนวัวระยะไกล เส้นแรก นำวัวไปขายส่งขึ้นรถไฟที่ Sandalia และ Missouri เพื่อส่งไปขายที่ชิคาโก
-เจ้าของไร่ปศุสุัตว์ชาวเท็กซัส 2 คน คือ ชาร์ล กู๊ดไนท์ และ โอลิเวอร์ เลิฟวิ่ง เริ่มต้น เส้นทางต้อนวัวเส้นที่ 2 ไปที่เดนเวอร์ และโคโลราโด เพื่อขายวัวให้พวกทำเหมืองทอง
-ในปี 1868 เจ้าของไร่ปศุสัตว์ ชื่อ John Iliff ฉายา the cattle-king of the northern plains หรือ ราชาวัวแห่งทุ่งราบทางเหนือ ชนะสัญญาส่งวัวให้พวกอินเดียนเผ่า ซู ซึ่งถูกกักกันอยู่ในพื้นที่สงวนแถว Black Hill
-มีเส้นทางต้อนวัวที่ปลอดภัยกว่า คือ ชิซึล์มเ ทรล (Chisholm Trail) เกิดขึ้น เพื่อนำวัวไปส่งที่เมืองอาบิลีน (Abilene) รัฐแคนซัส เริ่มต้นโดย Joseph McCoy สร้างเป็นเมืองวัว (cow-town) มีคอกให้เช่าขังวัวไว้คอยขึ้นรถไฟจำนวนมาก รวมทั้งร้านเหล้าพร้อมบ่อนพนันมากมายที่เรียกว่า ซาลูน (Saloon) เพื่อดูดเงินจากค่าจ้างต้อนวัวของพวกคาวบอย
-จอนห์น ไอลิฟฟ์ (John Iliff) คือเจ้าของปศุสัตว์คนแรก ที่เริ่มทำไร่ปศุสัตว์แบบทุ่งเปิด หรือ Open Rang ranch ขึ้นในปี 1867
1870-1885 ยุค Open Range
-มีพื้นที่เปิด ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเลี่้ยงสัตว์ที่ไม่มีรั้ว เปิดให้ใครก็ได้ที่จะนำวัวเข้าไปเลี้ยงได้ฟรี
-ชาร์ล กู๊ดไนท์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นวิธีการเลี้ยงวัวแบบ crazy quilt คือการซื้่อที่ดินผืนเล็กๆ กระจายไปที่โน่น ที่นี่ จำนวนมาก เพื่อเลี้ยงวัวแบบทุ่งเปิด โดยอยู่ในระยะที่เขาควบคุมได้ง่าย
-การประดิษฐ์ตู้รถไฟแช่แข็งเนื้อวัว ทำให้ส่งเนื้อวัวไปตลาดได้ทั่วโลก
-ในปี 1885 มีราชาคอกปศุสัตว์วัว(cattle-barons) เพียง 35 คน ที่เป็นเจ้าของทุ่งเลี้ยงสัตว์ 8 ล้านเฮกตาร์ และเป็นเจ้าของวัวประมาณ 1.5 ล้านตัว
1885-1890 จุดจบของ Open Range
-เจ้าของไร่ปศุสัตว์ใช้ทุ่งหญ้าเกินความสามารถของธรรมชาติที่จะเติมโตได้ทัน การเลี้ยงวัวเกินความต้องการตลาด ทำให้ราคาตก
-ในฤดูใบไม้ผลิปี 1886 เกิดภาวะแห้งแล้ง ตามด้วยฤดูร้อนที่ร้อนผิดปกติ อุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียส จากนั้น ตามด้วยพายุฤดูหนาวที่โหดร้ายในปี 1887 อุณหภูมิลดต่ำกว่า -43 องศาเซลเซียส วัวทั้งหมดในทุ่งราบเลี้ยงสัตว์ตายไปมากกว่าครึ่งใน 1 ปี
-มีคนอพยพมาสร้างบ้านตั้งรกรากในทุ่งราบมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพวกชาวสวนปลูกพืช พวกนี้สร้างรั้วป้องกันวัวเข้าไปกินพืชผักด้วยลวดหนาม ซึ่งจดลิขสิทธิ์ไว้ในปี 1874 ทำให้การต้อนวัวถูกปิดกั้น เกิดการปะทะระหว่างชาวปศุสัตว์ คือพวกคาวบอย กับพวกชาวไร่พืชผัก จนการต้อนวัวไปหากินในทุ่งเปิดทำไม่ได้อีกต่อไป
-
อ่านนิยายหลุยส์ ลามู เยอะๆ แล้วจะได้เรื่องเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาไม่รู้ตัว พระเอกของเขาส่วนใหญ่ก็คือคาวบอยที่รับจ้างเลี้ยงวัว ต้อนวัว ที่ซึ่อสัตย์ภักดีต่อนายจ้างและพรรคพวก (riding for the brand) และเก่งสุดยอดทั้งเรื่องม้า ปืน และวัว และบางเรื่องเป็นแนวสอบสวนสืบสวนหาคนร้ายขโมยวัว
ถ้าอ่านมากๆ แล้ว ก็จะรู้ว่า ฟาร์มโชคชัยที่มีที่ดิน 2 หมื่นกว่าไร่นี่ มันเด็กๆ มากสำหรับพวกคาวบอยยุค ค.ศ. 1800 แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะแค่พื้นที่ 1 รัฐของเขา มันก็พอๆ หรือใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศไปแล้ว
การเลี้ยงวัวแบบ Open Range นี่ต่อมามันก็เริ่มเลือนหายไป เพราะรถไฟเข้าถึง เจ้าของไร่ก็พยายามทำรั้วลวดหนาม กั้นที่ดินของตน จนทำให้การต้อนวัวระยะไกล เลี้ยงวัวแบบธรรมชาติ มันหายไปหมด พวกคาวบอยตัวจริงเขาเกลียดรั้วลวดหนามนี่มาก ถือว่าเป็นเครื่องมือปีศาจเลยทีเดียว ดูหนังเรื่อง Open Range กับเรื่อง Monte Walsh ก็จะเข้าใจดี แต่ถ้าอยากดูหนังการต้อนวัวจากเท็กซัสถึงมอนตานา ที่ประทับใจสุดๆ ก็ต้องดูเรื่อง Lonesome Dove ครับ
รูปข้างล่างนี้เป็นการเขียนภาพประกอบข่าวหนังสือพิมพ์ในปี 1881 แสดงว่าคาวบอยกำลังขี่ม้าสกัดวัวตื่นครับ คือต้องขี่ไปนำหน้ามันเพื่อเบนทิศทางการตื่นให้ไปในทางที่ไม่อันตราย เรียกว่าการ holding the lead
แต่คาวบอยบางคนก็จบชีวิตเพราะตกม้าและถูกเหยียบ ดังภาพต่อไป เป็นข่าวในปี 1887 จาก www.wyomingtalesandtrail.com
ภาพการต้อนวัวมารวมกันหรือ roundup ถ่ายโดย Baker & Johnson ในปี 1885
อีกภาพหนึ่งเป็นการ Roundup ในปี 1890 ถ่ายโดย John C.H. Grabill
การตีตราวัวหรือ Branding ในปี 1904 โดย H.H. Tammen
หรือจะตีตรากลางทุ่งกว้างเลยก็ได้ รูปต่อไปถ่ายปี 1905
การ roundup ในทุ่งกว้าง อาจต้องตั้งเป็นแคมป์ และมี รถม้าใส่สะเบียง (chuck wagon) ไปเลี้ยงพวกคาวบอยที่ทำหน้าที่ต้อนวัว
รูปทั้งสอง เป็นของบริษัท Warren Livestock Company แถวไชแอนในปี 1898 ถ่ายโดย Joseph Stimson
เห็นเครื่องดื่มประจำตัวคาวบอยไหมครับ มีบางคนกำลังกระดกแก้วกาแฟอยู่ ดูแล้วน่าอร่อยนะ
ดูสารรูปคาวบอยแต่ละคนดีๆ จะเห็นว่าที่แต่งตัวเท่ห์ โก้หรู นั้นมีแต่หนังคาวบอยเท่านั้นเอง จากรูปของจริงเหล่านี้ มองเห็นความซอมซ่อยากจนได้ชัดเจน ฮีโร่ตัวจริงคือสารรูปนี้ครับ พวกแต่งโก้ๆ ในหนังดีๆ บางเรื่องก็คือพวกนักธุรกิจ เจ้าของไร่ขี้โกง อะไรพวกนี้ แต่เรื่องจริงๆ เราก็คงไม่รู้หรอกนะ ก็คงมีทั้งดีชั่วปนกันแหละ
รูปถัดไป คือพวกคาวบอยห้อม้ากลับแค้มป์เพื่อกินอาหารเย็นหลังจากขี่ม้าต้อนวัวเพื่อ roundup มาทั้งวัน ถ่ายปี 1905
วิธีออกแบบและอ่านตราวัวของเขาก็น่าสนใจนะครับ เขาต้องมีสมุดทะเบียนตราวัวกันเป็นรัฐๆ ไป แต่ละรัฐมีตรารวมกันเป็นหมื่นตรา
จากที่เล่ามาตอนต้น เรื่องคาวบอย 14 คนต้อนวัวจากเท็กซัสไปมอนตานาจำนวน 1200 ตัว และไปถึงกลายเป็น 2400 ตัว จะเห็นว่าการใช้คนขี่ม้าต้อนวัวนี่ มีประสิทธิภาพมาก อยากจะเปรียบเทียบให้เห็นประสิทธิภาพของคาวบอยไทยที่เดินเท้าต้อนวัว จากภาพต่อไปนี้ ผมประมาณเอาว่ามีวัวประมาณ ไม่เกิน 200 ตัว แต่ก็ใช้คนประมาณ 10 คน จึงอยากฝากไปบอกเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลว่า อยากให้ปากช่องเป็นเมืองคาวบอย หรือคาวบอยไทยมีตัวตนที่สง่างาม รีบส่งเสริมการขี่ม้าเลี้ยงวัวกันเถอะ อย่าทำอะไรเหยาะแหยะแบบซื้อวัวพลาสติกมาแจกครอบครัวละตัว หรือโครงการวัว 1 ล้านตัวที่ผ่านมา อย่างนี้ ประเทศไทยเมื่อไรจะเจริญเสียที
ดูวัวที่ถูก roundup มาเตรียมขายส่งขึ้นรถ ณ ที่แห่งหนึ่งแถวปทุมธานี มันดูน่ารักและแสนรู้มาก ถือได้ว่าเป็นวัวที่มีอารยะธรรมที่ดี แค่ใช้เลือกฟางผูกถุงพลาสติกขาวกั้นเป็นแนวให้มันเห็น มันก็ไม่ข้ามเขตแล้ว นี่คงเพราะคนไทยเลี้ยงแบบดูแลใกล้ชิด ฝึกมันมาแต่เล็กๆ มันถึงเชื่อง
อ้อ ที่มันกลัวเชือกผูกพลาสติกนั้นก็เพราะว่า มันไม่ใช่เชือกธรรมดานะซี แต่เป็นลวด แถมปล่อยไฟฟ้าแรงสูงไว้ด้วย มันคือรั้วไฟฟ้านี่เอง วัวมันเคยถูกไฟดูดเวลาไปโดนรั้วไฟฟ้า จนมันจำได้และกลัวมาก ดังนั้น บางทีใช้ลวดเปล่าๆ ผูกพลาสติก ไม่มีไฟฟ้า มันก็ไม่กล้าเข้าใกล้
< ย้อนกลับ |
---|